การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะถ้าหากเราเลือกทำเลผิด ก็อาจจะสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมหาศาลไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือแย่กว่านั้น อาจจะติดกับดักให้มีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายต่อได้ หรือปล่อยเช่าไม่ออก ซึ่งนั่นจะกลายเป็นภาระทางการเงินในระยะยาว ทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนด้านอื่นๆ ที่อาจจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
ดังนั้น การวิเคราะห์ทำเลก่อนการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งวันนี้เรามี 4 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ทำเลได้อย่างมั่นใจ และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนได้มากขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ขั้นตอนที่ 1: ศึกษาแผนพัฒนาเมือง
ขั้นตอนแรกสำคัญที่สุดเลย คือ ต้องศึกษาแผนพัฒนาเมืองให้ดี โดยอาจจะดูจากแผนการสร้างสาธารณูปโภคใหม่ๆ ในบริเวณนั้น เช่น การสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ การขยายหรือตัดถนน รวมไปถึงการเปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งโครงการพัฒนาเมืองเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้ราคาที่ดินในบริเวณนั้นมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเปิดใช้งานในอนาคตทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราซื้ออสังหาฯ ในทำเลที่มีแผนพัฒนาเมืองรองรับ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ราคาทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นในภายหลัง
ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ข้อมูลประชากรและเศรษฐกิจในพื้นที่
หลังจากศึกษาแผนพัฒนาเมืองแล้ว ต่อมาสิ่งที่เราต้องวิเคราะห์คือข้อมูลประชากรและเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของคนในละแวกนั้นๆ โดยเราสามารถหาข้อมูลสำคัญจากแหล่งทางการได้ เช่น
- อัตราการเติบโตของประชากร เพื่อให้เห็นแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคต
- รายได้เฉลี่ยของคนในพื้นที่ เพื่อคาดการณ์กำลังซื้อ
- อัตราการจ้างงานและอัตราการว่างงาน เพื่อบอกถึงความมั่นคงของรายได้ และโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น
- จำนวนประชากรแฝงที่เข้ามาอยู่อาศัยหรือทำงานเป็นการชั่วคราว ถ้ามีจำนวนมากก็มักส่งผลดีต่อความต้องการในด้านอสังหาฯ เช่นกัน
หากข้อมูลมีแนวโน้มที่ดี ก็แสดงว่าพื้นที่นั้นน่าจับตามองในการลงทุน เพราะมีโอกาสสูงที่จะมีความต้องการอสังหาฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การขายหรือปล่อยเช่าในอนาคตทำได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญ ราคาก็มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ขั้นตอนที่ 3: สำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ
หลังจากศึกษาแผนพัฒนาเมืองและวิเคราะห์ข้อมูลประชากรแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการสำรวจพื้นที่โดยรอบทำเลที่สนใจ เพื่อดูว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นครบถ้วนหรือไม่ เพราะทำเลที่ดีควรจะอยู่ไม่ห่างจากสถานที่สำคัญต่างๆ เหล่านี้มากนัก ได้แก่
- โรงเรียนที่มีคุณภาพ ทั้งสำหรับนักเรียนในระดับประถมและมัธยม
- โรงพยาบาลและคลีนิค เผื่อกรณีฉุกเฉิน หรือเมื่อมีอาการเจ็บป่วย
- ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน
- สวนสาธารณะหรือสถานที่ออกกำลังกาย สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ
- สถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายรถเมล์ ถ้าเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้สะดวก ทำเลนั้นก็จะยิ่งมีความน่าสนใจ
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อไว้ให้ผู้อื่นเช่า หากมีสิ่งเหล่านี้ครบ ก็มักจะขายหรือปล่อยเช่าได้ในราคาที่สูงกว่าทำเลอื่นๆ ที่เข้าถึงแหล่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ได้ยากกว่า
ขั้นตอนที่ 4: ประเมินสภาพแวดล้อมและชุมชน
ขั้นตอนสุดท้าย หลังจากเช็คพื้นที่โดยรอบแล้ว อีกสิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ การสังเกตสภาพแวดล้อมและลักษณะของชุมชนในบริเวณนั้น โดยสิ่งที่ต้องดูให้ดี ได้แก่
- ความสะอาดเรียบร้อยของพื้นที่โดยรวม ไม่มีขยะหรือน้ำเน่าขังจนเกินไป
- ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยอาจดูจากสถิติอาชญากรรมในพื้นที่
- บรรยากาศของชุมชน เพื่อดูว่าอยู่อาศัยแล้วจะมีความสุขหรือไม่
- แนวโน้มการพัฒนาชุมชนในอนาคต ดูจากกิจกรรมและความเคลื่อนไหวต่างๆ ในพื้นที่
การสำรวจชุมชนจะช่วยให้คาดเดาได้ว่า ผู้ที่อยู่อาศัยหรือเช่าในละแวกนั้นจะมีคุณภาพชีวิตแบบไหน สภาพแวดล้อมดีก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
สรุป
การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งสามารถทำได้โดยการวิเคราะห์ให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งแผนพัฒนาเมือง ข้อมูลประชากรและเศรษฐกิจ สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงสภาพแวดล้อมและชุมชน
หากวิเคราะห์แล้วเจอทำเลที่มีความเหมาะสมทุกด้าน โอกาสที่ธุรกิจอสังหาฯ ของเราจะเติบโตในระยะยาว ขายหรือปล่อยเช่าได้ในราคาที่ดี ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก
ถึงอย่างไรก็ตาม ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหากไม่มั่นใจว่าจะวิเคราะห์ทำเลได้ถูกต้องหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง และหากต้องการไอเดียเพิ่มเติมในการพิจารณาทำเลทอง สามารถติดตามได้ที่บล็อกของเรา เราจะคอยอัปเดตเทคนิคใหม่ๆ ให้คุณได้นำไปประยุกต์ใช้ในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอค่ะ